ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียในนัดแรกของแต่ละทีมเดินทางมาถึงกลุ่มเอช กลุ่มสุดท้ายคู่แรกระหว่างทีมเต็งแชมป์กลุ่ม ทีมชาติโคลอมเบีย นำทัพมาโดย ราดาเมล ฟานเกา อดีตศูนย์หน้าปิศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไหนเต็ด พบกับเต็งบ้วยจากเอเชียส่งเข้าประกวดซามูไรเลือดน้ำเงิน ทีมชาติญี่ปุ่น ที่มีนักเตะอดีตทีมปิศาจแดงเช่นกันอย่าง ชินจิ คากาวะ นำทีม
เริ่มเกมมาได้ไม่นานเพียงแค่สามนาที จากจังหวะดักสวนกลับเร็วของทีมชาติญี่ปุ่นหลุดไปหน้าประตูติดเซฟผู้รักษาประตูในจังหวะแรก และเป็น ชินจิ คากาวะ ที่วิ่งมาซ้ำในจังหวะที่สอง บอลพุ่งไปโดนแขนของ คาลอส ซานเชช ที่กางออกมาขวางทิศทางบอลที่กำลังตรงเข้าไปตุงตาข่าย กลายเป็นลูกโทษที่จุดโทษ และซ้ำร้ายเจ้าตัวเองยังโดนใบแดงไล่ออกจาสนามทันที และเป็น คากาวะ เองที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษขึ้นนำ 1-0 แถมทีมชาติโคลัมเบีย ยังต้องรับพาระที่สกอร์ตาม และจำนวนผู้เล่นน้อยกว่า
ถึงผู้เล่นจะน้อยกว่าแต่ด้วยสถานการณ์ที่บังคับกลับกลายเป็นโคลัมเบียที่วิ่งไล่บีบเอาบอลมา และครองเกมรุกกดดันทางด้านทีมชาติญี่ปุ่นจนไม่ต่อบอลกันผิดพลาดหลายๆ จังหวะ จนในนาทีที่ 39 ราดาเมล ฟานเกา ถูกชนล้มลงไป ได้ลูกฟรีคิกระยะหวังผลระยะประมาณ 20 หลา เป็น ฆวน ควินเทโร หลอกยิงฟรีคิกบอลเลียดพื้นลอดใต้กำแพงที่กระโดดขึ้น บอลวิ่งเสียบเข้าเสาแรก เอจิ คาวาชิมะ พยายามคว้าบอลเอาไว้ได้แต่ไม่ทันลูกบอลข้ามเส้นเข้าไปแล้วด้วยโกลไลน์เทคโนโยลีที่มองเห็นอย่างชัดเจน ทีมชาติดคลัมเบียตีเสทอได้ 1-1
จากนั้นก็ยังพยายามบุกเพื่อที่อาจจะได้ประตูพลิกขึ้นได้เพิ่มบ้าง แต่ไม่มีสกอร์เพิ่มเติมจบครึ่งแรกไปด้วยผลสกอร์ 1-1 ทีมชาติโคลัมเบียเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน
ครึ่งหลังเป้นทางทีมชาติโคลัมเบียที่ผ่อนเกมนรุกลงเพื่อเซฟแรงนักเตะ และยันสกอร์นี้เอาไปไว้ก่อนโดยมาเน้นรับแล้วรอสวนกลับเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทีมชาติญี่ปุ่นเองที่อาศัยความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นปั้นเกมบุกใส่อย่างต่อเนื่อง จนมาในนาทีที่ 73 ทีมชาติญี่ปุ่นได้ลูกเตะมุม ก่อนเปิดเข้ามากลางประตูเป็น ยูยะ โอซาโกะ ขึ้นโหม่งเพียงคนเดียวท่ามกลางผู้เล่นทีมชาติโคลัมเบียที่ขึ้นเบียดแย่งโหม่ง ส่งบอลพุ่งตรงเข้าตาข่าย ญี่ปุ่นได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 ก่อนจะพยายามประคองให้จบเกมไปได้ด้วยสกอร์นี้ ทีมชาติญี่ปุ่นเป็นทีมจากเอเชียอีกหนึ่งทีมที่สามารถเก็บสามแต้มในนัดแรกได้อย่างพลิกล็อกตามทีมชาติอีหร่านได้ก่อนหน้านี้